ดังนั้นการจะบอกว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือไม่โดยส่วนใหญ่แล้วแพทย์สามารถบอกได้
จากประวัติของความเจ็บป่วย
อาการ
อาการแสดงที่เป็นอยู่
และ การตรวจร่างกาย
โดยไม่จำเป็นต้องเอ๊กซเรย์
การเอ๊กซเรย์จะทำก็ต่อเมื่อแพทย์สงสัยว่าอาจจะเป็นโรคอื่น
สงสัยว่าอาจจะมีภาวะแทรกซ้อน
หรือ
ในกรณีที่ต้องทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด
แนวทางรักษา
มีอยู่หลายวิธี
เช่น
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
- ทำกายภาพบำบัด
- การกินยาแก้ปวดลดการอักเสบ
- การผ่าตัด
เพื่อจัดแนวกระดูกใหม่
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้
จุดมุ่งหมายในการรักษาทุกวิธีก็คือ
ลดอาการปวด
ทำให้เคลื่อนไหวข้อได้ดีขึ้น
ป้องกันหรือแก้ไขการผิดรูปร่างของข้อ
เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันหรือทำงานได้เป็นปกติ
การกินยาแก้ปวด
หรือ การผ่าตัด
ถือว่าเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ
ถ้าผู้ป่วยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน
และ ไม่บริหารข้อเข่า
ผลการรักษาก็จะไม่ดีเท่าที่ควร
วิธีการรักษาที่ได้ผลดี
เสียค่าใช้จ่ายน้อย
ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตนเอง
คือ
- การลดน้ำหนัก
- การบริหารข้อ
และ
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ข้อแนะนำในการรักษาด้วยตนเอง
ดังนี้
- ลดน้ำหนักตัว
เพราะเมื่อเดินจะมีน้ำหนักลงที่เข่าแต่ละข้างประมาณ
3 เท่าของน้ำหนักตัว
แต่ถ้าวิ่ง
น้ำหนักจะลงที่เข่าเพิ่มเป็น
5 เท่าของน้ำหนักตัว
ดังนั้น
ถ้าลดน้ำหนักตัวได้
ก็จะทำให้เข่าแบกรับน้ำหนักน้อยลง
การเสื่อมของเข่าก็จะช้าลงด้วย
- ท่านั่ง
ควรนั่งบนเก้าอี้ที่สูงระดับเข่า
ซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาแล้วฝ่าเท้าจะวางราบกับพื้นพอดี
ไม่ควร
นั่งพับเพียบ
นั่งขัดสมาธิ
นั่งคุกเข่า นั่งยอง ๆ
หรือนั่งราบบนพื้น
เพราะท่านั่งดังกล่าวจะทำให้
ผิวข้อเข่าเสียดสีกันมากขึ้น
ข้อเข่าก็จะเสื่อมเร็วขึ้น
- เวลาเข้าห้องน้ำ
ควรนั่งถ่ายบนโถนั่งชักโครก
หรือ
ใช้เก้าอี้ที่มีรูต้องกลาง
วางไว้เหนือ คอห่าน ไม่ควรนั่งยอง
ๆ
เพราะทำให้ผิวข้อเข่าเสียดสีกันมาก
และเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงขา
ถูกกดทับ
เลือดจะไปเลี้ยงขาได้ไม่ดี
ทำให้ขาชา
และมีอาการอ่อนแรงได้
ควรทำที่จับยึดบริเวณด้านข้างโถนั่งหรือใช้เชือก
ห้อยจากเพดานเหนือโถนั่ง
เพื่อใช้จับพยุงตัว
เวลาจะลงนั่งหรือจะลุกขึ้นยืน
- นอนบนเตียง
ซึ่งมีความสูงระดับเข่า
ซึ่งเมื่อนั่งห้อยขาที่ขอบเตียงแล้วฝ่าเท้าจะแตะพื้นพอดี
ไม่ควรนอนราบบนพื้นเพราะต้องงอเข่าเวลาจะนอนหรือจะลุกขึ้น
ทำให้ผิวข้อเสียดสีกันมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได
- หลีกเลี่ยงการยืนหรือ
นั่งในท่าเดียวนาน ๆ
ถ้าจำเป็นก็ให้ขยับเปลี่ยนท่าหรือขยับเหยียด-งอข้อเข่า
เป็นช่วง ๆ
- การยืน
ควรยืนตรง
ให้น้ำหนักตัวลงบนขาทั้งสองข้างเท่า
ๆ กัน
ไม่ควร ยืนเอียงลงน้ำหนักตัวบนขาข้างใดข้าง-หนึ่ง
เพราะจะทำให้เข่าที่รับน้ำหนักมากกว่าเกิดอาการปวด
และข้อเข่าโก่งผิดรูปได้
- การเดิน
ควรเดินบนพื้นราบ
ใส่รองเท้าแบบมีส้นเตี้ย(สูงไม่เกิน
1 นิ้ว) หรือ
แบบที่ไม่มีส้นรองเท้า
พื้นรองเท้านุ่มพอสมควร
และ
มีขนาดที่พอเหมาะเวลาสวมรองเท้าเดินแล้วรู้สึกว่ากระชับพอดี
ไม่หลวมหรือคับเกินไป
ไม่ควร
เดินบนพื้นที่ไม่เสมอกันเช่น
บันได
ทางลาดเอียงที่ชันมาก
หรือทางเดินที่ขรุขระเพราะจะทำให้น้ำหนักตัวที่ลงไปที่เข่าเพิ่มมากขึ้น
และอาจจะเกิดอุบัติเหตุหกล้มได้ง่าย
- ควรใช้ไม้เท้า
เมื่อจะยืนหรือเดิน
โดยเฉพาะ
ผู้ที่มีอาการปวดมากหรือมีข้อเข่าโก่งผิดรูป
เพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวที่ลงบนข้อเข่าและช่วยพยุงตัวเมื่อจะล้ม
แต่ก็มีผู้ป่วยที่ไม่ยอมใช้ไม้เท้า
โดยบอกว่า
รู้สึกอายที่ต้องถือไม้เท้า
และไม่สะดวก
ทำให้เกิดผลเสียตามมาคือ
ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
และ
เสี่ยงต่ออุบัติเหตุหกล้ม
สำหรับวิธีการถือไม้เท้านั้น
ถ้าปวดเข่ามาก
ข้างเดียวให้ถือไม้เท้าในมือด้านตรงข้ามกับเข่าที่ปวด
แต่ถ้าปวดเข่าทั้งสองข้างให้ถือในมือข้างที่ถนัด
- บริหารกล้ามเนื้อรอบ
ๆ ข้อเข่า
ให้แข็งแรง
เพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อได้ดีขึ้น
และสามารถทรงตัวได้ดีขึ้นเวลายืน
หรือ เดิน
การออกกำลังกายควรเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ต้องมีการลงน้ำหนักที่เข่ามากนัก
เช่น การเดิน
การขี่จักรยาน
การว่ายน้ำ เป็นต้น
โรคข้อเข่าเสื่อมรักษาไม่หายขาด
แต่ก็มีวิธีที่ทำให้อาการดีขึ้นและชะลอความเสื่อม
ให้ช้าลง
ทำให้ท่านสามารถดำเนินชีวิตอยู่ด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี
ซึ่งจะทำได้หรือไม่นั้น
ขึ้นอยู่กับ ความตั้งใจของท่านเองเป็นสำคัญ
โดย นพ.พนมกร ดิษฐสุวรรณ์
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ