ขณะนี้ทางเลือกในการทำแท้งดังกล่าว
เปิดกว้างสำหรับผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาแล้ว
หลังจากถูกเลื่อนระยะเวลาของการอนุมัติใช้มาเป็นเวลานาน
เนื่องจากในสหรัฐ
การทำแท้งนั้นยังเป็นกรณีที่มีการโต้เถียงกันมาก
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้เอง
FDA หรือ Food and Drug Administration
ได้ให้การรับรองยาเม็ดทำแท้ง
ให้สามารถจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาได้แล้ว
โดยยาดังกล่าวจะถูกนำออกวางตลาดในเดือนหน้านี้
ภายใต้ชื่อ Mifeprex แต่ในการซื้อจะต้องถูกสั่งซื้อโดยแพทย์เท่านั้น
Dr.Jane Henney
คณะกรรมการของ FDA กล่าวว่า
ทาง FDA
ให้การรับรองยาชนิดนี้
หลังจากที่ได้ศึกษาจนมีความมั่นใจในความปลอดภัย
และประสิทธิผลของยาชนิดนี้แล้ว
โดยสิ่งที่ FAD คำนึงถึงนั้น
ไม่ใช่เฉพาะในทางวิทยาศาสตร์แต่อย่างเดียว
แต่ยังคำนึงถึงในเรื่องของความถูกต้อง
ตามกฏหมายด้วย
Mifepriston
หรือยาเม็ดทำแท้งนี้
เป็นยาที่ใช้ได้ในกรณีที่หญิงตั้งครรภ์อ่อน
ๆ
ต้องการจะกำจัดตัวอ่อนในครรภ์
โดยเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนา
มาจากยาเม็ดคุมกำเนิด
ที่ใช้กันมาเมื่อ 40
ปีที่แล้ว ซึ่ง Gloria Feldt
ประธานของบริษัท Planned Parenthood Inc.
กล่าวว่า วิธีการใช้ยานี้
จะทำให้ผู้หญิงที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์
กล้าตัดสินใจได้ตั้งแต่เนิ่น
ๆ
และไม่ต้องกังวลกับการใช้วิธีการแบบเดิมคือหัตถการทำแท้งนั้นเอง
ซึ่ง Gloria เชื่อว่า
ผลที่ได้รับจากการอนุมัติให้ใช้ยานี้
จะเป็นผลในแง่บวก
Mifepristone
เป็นยาที่ต่างจากยา Morning-Afer Pill
ที่ได้รับการรับรองจาก FDA
ไปเมื่อปี 1998 ซึ่งยาชนิดนี้ เป็นยาที่ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้
ถ้ารับประทานยาภายใน 72
ชั่วโมง
หลังการร่วมเพศโดยไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์
สำหรับยา Mifepristone
นั้นมีส่วนประกอบของ Steroid
ซึ่งจะไปรบกวนไข่ที่ได้รับการผสมแล้ว
ไม่ให้ไปเกาะติดกับผนังมดลูก
ซึ่งทำให้เกิดการแท้งในที่สุด
แต่ยาชนิดนี้จะใช้ได้กับครรภ์อ่อน
ๆ เท่านั้น
โดยจากการศึกษาพบว่า
ยาชนิดนี้ให้ผลในการทำแท้งถึงร้อยละ
92-95.5 กับการตั้งครรภ์ในระยะ 7
สัปดาห์แรก
โดยมีกลุ่มหญิงที่ใช้ยาดังกล่าวในการทำแท้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ต้องเข้ารับการทำแท้ง
ด้วยวิธีการทางหัตถการ
เนื่องจากยาไม่ให้ผลที่น่าพอใจ
เมื่อใช้ยาดัวกล่าวแล้ว
ผู้หญิงส่วนใหญ่จะเกิดการแท้งขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
หรือในบางกรณี
อาจจะใช้เวลาถึง 1 สัปดาห์
ส่วนผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่อาจเกิดขึ้นนั้นได้แก่
มดลูกอักเสบ
เลือดออกมาก
อาการคลื่นไส้อาเจียร
และอ่อนเพลีย เป็นต้น
ซึ่งการที่มีเลือดออกมานั้น
FAD กล่าวว่า
อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลา 9 ถึง
16 วัน
และการที่จะมีเลือดออกมานั้น
มีโอกาสเกิดขึ้น
กับผู้หญิงที่ใช้ยาเพียง 1
ใน 100 เท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีรายงานเพิ่มเติมอีกว่า
ก่อนหน้าที่ FDA
จะให้การรับรองยาเม็ดทำแท้งนี้
เคยมีการสำรวจความคิดเห็นของผู้หญิงในมลรัฐวอชิงตัน
ในช่วงปี 1996 1997 และพบว่า
ผู้หญิงจำนวนมากกว่า 1 ใน 4
ต้องการการอนุมัติให้ใช้ยาดังกล่าวได้
เพราะพวกเธอเห็นว่า
วิธีการนี้ มีความปลอดภัย
ให้ผลดี
และที่สำคัญมีความเป็นส่วนตัว
แต่ขณะเดียวกัน
ก็ยังมีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย
กับการใช้ย่ดังกล่าวโดยเฉพาะกลุ่มที่ต่อต้านการทำแท้ง
ทางด้าน Dr.Mitchell Creinin
แห่ง University of Pittsburgh ยังกล่าวว่า
ปัจจุบันยังมีกฏหมายของมลรัฐอีกหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา
ที่มีการจำกัดการทำแท้ง
ซึ่งจะส่งผลให้การใช้ยาดังกล่าวมีข้อจำกัดทางกฏหมายไปด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม
ยังมีรายงานจากทางฝรังเศส
ที่สามารถใช้ยาดังกล่าวได้ด้วยว่า
ยาเม็ดทำแท้งนี้ถูกนำมาใช้เพียงแค่
10 เปอร์เซ็นต์
ของการทำแท้งกว่า 200,000
ต่อปีในฝรั่งเศส
และในช่วงระยะเวลา 10
ปีที่ผ่านมา
นักวิจัยก็พบว่า
การใช้ยาเม็ดในการทำแท้งนั้น
ไม่สามารถมาแทนที่วิธีการทำแท้งด้วยหัตถการได้
อีกทั้งยังไม่พบว่า
การอนุมัติให้มีการใช้ยาเม็ดทำแท้ง
ส่งผลให้มีการทำแท้งเพิ่มขึ้นแต่เพียงอย่างใด
Cover Story from CNN Health