ยกตัวอย่างยา
Finasteride ซึ่งจำหน่ายภายใต้ชื่อ Propecia นั้น เป็นยาที่ต้องรับประทานทุกวัน ซึ่งยาตัวนี้ ได้มีการศึกษาและรายงานผลใน New England Journal of Medicine เมื่อเดือนกันยายน ปี ๑๙๙๙ ว่า หลังจากผู้ใช้ยาจำนวน ๒ ใน ๓ ใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา ๒ ปี ปรากฏว่า มีผมปกคลุมพื้นที่หนังศีรษะเพิ่มมากขึ้น เส้นผมยาว และหนาขึ้น มีชายจำนวนน้อยเท่านั้น ที่ใช้ยานี้แล้วไม่ได้ผล ส่วน Side Effect นั้น ยังไม่ปรากฏให้เห็นในช่วงระยะเวลาที่ทำการทดสอบ
สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรับประทานยานั้น ก็มียา
Minoxidil ที่จำหน่ายภายใต้ชื่อ Rogaine เป็นยาที่ต้องใช้ทาหนังศีรษะวันละ ๒ ครั้ง แต่จะใช้ได้ผลดี กับผู้ที่ยังศีรษะล้านไม่มากนัก ส่วนผลข้างเคียงนั้นอาจทำให้ผู้ใช้เกิดอาการระคายเคืองหนังศีรษะ
แต่อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังเห็นว่า แม้จะมีวิธีการรักษาอาการศีรษะล้านอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่น่าจะได้ผลดีที่สุด น่าจะเป็นการผ่าตัดปลูกถ่ายเซลรากผมนั่นเอง
Cover Story from CNN Health
http://www.cnn.com/2000/HEALTH/men/01/06/hair.loss.update.wmd/index.html
Comment
จากแพทย์
อย่างที่กล่าวข้างต้น
ถ้าพูดถึงการใช้ยา ปัจจุบัน
ก็มี 2
ตัวเท่านั้นที่พิสูจน์ว่าได้ผล
ซึ่งในส่วนของ Minoxidil
นั้นเป็น Lotion ทาที่หนังศรีษะ
วันละ 2 ครั้ง
ซึ่งหลังทาประมาณ 3-4 เดือน
จะเริ่มมีผมขึ้น
แต่ไม่ได้ได้ผลทุกคน ประมาณ
30-40% ของคนไข้เท่านั้น
ที่ได้ผล ต้องใช้ต่อเนื่อง
ถ้าหยุดยาผมจะร่วงใน 2-3
เดือน
ส่วนในเรื่องของ
ยากิน ก็คือ Finasteride
นั้น ใช้ได้ผล แต่มีข้อควรระวังคือ
เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ซึ่งมีรายงาน ประมาณ 1-2%
ของผู้ใช้ นอกจากนั้น
ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์ เพราะจะมีผลต่อ
อวัยวะเพศของเด็ก ทั้ง 2
ชนิดเป็นยาอันตรายก่อนใช้ควรปรึกษาแพทย์
ในส่วนของการผ่าตัดปลูกถ่ายผม
ปัจจุบันก็มีทำกัน
โดยจะเอาเซลผม ส่วนที่มี
อาจเป็นด้านข้าง หรือ
ด้านหลังศีรษะ
มาแบ่งออกเป็นเส้น
จากนั้น ก็ทำการฝัง
เหมือนดำนา
เข้าไปที่บริเวณที่ต้องการปลูก
ซึ่งข้อดี คือ
ได้เป็นผมเราเอง
แต่ข้อเสียคือ
ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงและต้องทำการผ่าตัดหลายครั้ง
จากรายงานที่มี
ถ้าสามารถเอาเซลจากคนอื่นมาได้จริง
ก็จะสามารถช่วยผู้ที่มีปัญหานี้ได้อีกมาก
แต่ยังไงคงต้องรายงานการวิจัยต่อไป
โดย Dr.OU