โรคเอดส์(AIDS)
-
โรคเอดส์คืออะไร
-
โรคเอดส์
คือ กลุ่มอาการของความเจ็บป่วยที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอดส์ หรือ เอชไอวี
(HIV) ทำให้ร่างกาย
-
อ่อนแอลงเนื่องจากภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ผู้ป่วยเอดส์อาจมีอาการได้มากมายหลายอย่าง เช่น ไข้ ผื่นขึ้นตามตัว
-
การลุกลามของโรคเริม
ปอดอักเสบ ท้องเสียเรื้อรัง ผอมลงและน้ำหนัดตัวลออย่างรวดเร็ว
-
โรคเอดส์จัดเป็นโรคติดต่ออันตรายร้ายแรงโรคหนึ่ง
เพราะผู้ติดเชื้อเอดส์ทุกรายจะเสียชีวิตในเวลาที่ไม่นานนัก
-
ปัจจุบันยังไม่มียาใด
ๆ ที่จะรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ และยังไม่มีวัคซีนที่จะใข้ป้องกันโรคเอดส์อย่างได้ผล
-
เมื่อไวรัสเอดส์เข้าสู่ร่างกายคนเรา
จะมีระยะฟักตัว เพื่อเพิ่มจำนวนไวรัสระยะหนึ่งก่อนเกิดอาการต่าง ๆ
-
ผู้ติดเชื้อบางคนมีอาการของโรคเอดส์ภายใน
2-3 ปี แต่บางคนก็อยู่ได้นานนับ 10 ปี หรือมากกว่านั้น โดยเข้าไปแพร่จำนวนในเม็ดเลือดขาว
แล้วทำให้เม็ดเลือดขาวซึ่งมีหน้าที่ทำลายเชื้อโรคต่าง ๆ ถูกทำลายไปด้วย จึงเป็นเหตุให้ผู้ติดเชื้อเอดส์ไม่สามารถป้องกันตนเองจากเชื้อโรค
ซึ่งไม่ทำให้เกิดโรคในคนปกติได้ เชื่อกันว่าผู้ติดเชื้อไวรัสเอดส์ทุกคนจะกลายเป็นโรคเอดส์ในโอกาสต่อไป
-
เนื่องจากไวรัสเอดส์
มิได้ทำให้เกิดโรคกับคนโดยตรง แต่เป็นตัวทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ที่ได้รับไวรัสเอดส์
-
บกพร่องเสียหายไป
อาการของผู้ป่วยเอดส์จึงไม่มีอาการเฉพาะที่จะบอกได้ว่าเป็นโรคเอดส์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเชื้อโรค
ที่ฉวยโอกาสทำให้เกิดโรคในผู้รับเชื้อไวรัสเอดส์นั้นเป็นเชื้ออะไร ดังนั้นผู้ป่วยเอดส์จึงมีอาการได้มากมายหลายระบบ
เช่น ท้องเสีย ปอดอักเสบ ผิดหนังอักเสบ หรือมะเร็งบางชนิด อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างก็ได้
-
สถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศไทย
-
โรคเอดส์เป็นโรคที่พบและมีรายงานเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา
เมื่อ พ.ศ. 2524 จากชายรักร่วมเพศ
-
ในประเทศไทยมีรายงานของโรคเอดส์เป็นครั้งแรกเมื่อปี
พ.ศ. 2527 จากชายรักร่วมเพศเช่นกัน จากนั้นจำนวนผู้ป่วยโรคเอดส์ในประเทศไทยก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย
ๆ จากปี พ.ศ. 2527 ถึง ปี พ.ศ. 2531 มีผู้ป่วยเพียง 19 ราย จนกระทั่งล่าสุดในปี
พ.ศ. 2537 มีรายงานผู้ป่วยโรคเอดส์ที่เกิดภายในปีนั้นมีถึง 11,978 ราย
-
การติดต่อ
-
ไวรัสเอดส์
พบได้ในปริมาณสูงในเลือด, น้ำอสุจิ, น้ำหลั่งในช่องคลอด และน้ำหลั่งต่าง ๆ
ที่มีอยู่ในร่างกาย
-
เช่น
น้ำไขสันหลัง, น้ำในช่องปอด, น้ำในช่องท้อง, น้ำในช่องเยื่อหัวใจ นอกจากนี้ไวรัสเอดส์ยังพบได้อีกแต่
ในปริมาณน้อย
-
ในสิ่งเหล่านี้
เช่น น้ำนม, น้ำมูก, น้ำตา, น้ำลาย, เสมหะ. เหงื่อ, อุจจาระและปัสสาวะ
-
จากการศึกษาของกองระบาดวิทยา
กระทรวงสาธารณสุข ผู้ป่วยเอดส์ที่เสียชีวิตตั้งแต่ กันยายน 2527 - สิงหาคม
2538
-
ทั้งหมด
6,783 ราย 75.63% ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ 8.27% ติดเชื้อจากการฉีดยาเสพติดเข้า
เส้น 7.81% ติดเชื้อจากมารดา,
-
0.13%
ติดเชื้อจากการให้เลือด และ 8.15% ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
-
ดังนั้นไวรัสติดต่อโดย
-
1.
การมีเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อไวรัสเอดส์
-
2.
การใช้เข็มหรือของมีคมอื่นใดร่วมกับผู้มีเชื้อไวรัสเอดส์ รวมทั้งการรับเลือดจากผู้มีเชื้อไวรัสเอดส์
-
3.
ทารกติดเชื้อไวรัสเอดส์จากมารดาซึ่งอาจเกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือระหว่างคลอด
หรือดื่มนมมารดา
-
ซึ่งอาจเกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์
หรือระหว่างคลอด หรือดื่มนมมารดาที่มีเชื้อไวรัสเอดส์
-
การป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอดส์
-
1.
งดการสำส่อนทางเพศ
-
2.
หากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช้คู่ครองของตนเอง ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
-
3.
สตรีติดเชื้อไวรัสเอดส์ ควรขอคำแนะนำก่อนการตั้งครรภ์
-
4.
หลักเลี่ยงการรับเลือดโดยไม่จำเป็นหากมีความจำเป็น ต้องเป็นเลือดที่ผ่านการทดสอบว่าปราศจากเชื้อไวรัสเอดส์แล้วเท่านั้น
-
และจะปลอดภัยยิ่งขึ้น
หากได้รับเลือดจากผู้ป่วยที่ไม่มีประวัติสำส่อนทางเพศ หรือติดยาเสพติด
-
5.
หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น เข็มฉีดยา มีดโกน รวมทั้งการฝังเข็ม
และเจาะหู สักยันต์
-
-
แม้ว่าโรคเอดส์ จะเป็นโรคอันตรายร้ายแรงก็ตาม แต่เชื้อไวรัสเอดส์จะไม่ติดต่อเมื่อมีการกินอาหารร่วมกัน
-
การสัมผัสกอดรัด
จับมือ หรือนั่งใกล้ และพูดคุยกับผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์เชื้อไวรัสเอดส์จะไม่ติดต่อโดยการใช้ของใช้ที่ไม่มีคมร่วมกัน
-
เช่น
หวี เสื้อผ้า หรือการใช้ห้องน้ำ, ห้องส้วม อีกทั้งเชื้อไวรัสเอดส์จะไม่ติด
ต่อโดยผ่านแมลง เช่น ยุงหรือหมัด
-
ดังนั้นผู้ป่วยโรคเอดส์
จึงสามารถอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมอย่างปกติ
This
Web Page Design & Created by Dr.OU
1
July 1998
Copyright
(c) 1998. ThaiClinic.com. All rights
reserved.