แจ้งลบกระทู้ แจ้งเมื่อมีคนตอบกระทู้นี้ แนะนำกระทู้นี้ Print

 หัวข้อ 36803: Checklist ซุปเปอร์สต็อก  (จำนวนคนอ่าน 993 ครั้ง)
« เมื่อ: 05/13/18 เวลา 12:36:36 » ตอบกลับพร้อมข้อความ แก้ไขข้อความ

Checklist ซุปเปอร์สต็อก
//ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
---------------------------
 
นึกย้อนหลังไปนาน ๆ  ผมรู้สึกว่าผมได้พูดถึงเรื่องของหุ้นที่เป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ค่อนข้างบ่อย  เหตุผลก็คงเป็นเพราะว่าผมเน้นลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกและก็มีความเชื่อว่าน ี่คือหุ้นที่สามารถลงทุนระยะยาวและให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีโดยที่มีความเสี ่ยงต่ำ  โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เป็น  “หายนะ”  ประสบการณ์ของผมก็คือ  หุ้นที่เป็นซุปเปอร์สต็อกนั้นมักจะโตขึ้นเรื่อย ๆ  แม้ว่าหุ้นจะ “สะดุด”  ไม่ไปไหน บางที 2-3 ปี  หรือตกลงมาแรงตามภาวะตลาดหรือเพราะปัญหาของบริษัทเอง  การตกลงมานั้นก็มักไม่ถึงกับรุนแรงมากจนรับไม่ไหว  แต่เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็น  “ปกติ”  ราคาหุ้นก็กลับขึ้นมาใหม่และสูงกว่าเดิม  นี่คือเหตุผลข้อแรก  เหตุผลข้อสองก็คือ  การเรียนรู้จักซุปเปอร์สต็อกนั้น  จะทำให้เรารู้จักหรือเข้าใจวิธีวิเคราะห์  “คุณภาพของกิจการ” ทุกประเภท  เพราะซุปเปอร์สต็อกก็คือบริษัทที่มี Business Model ที่ดีสุดยอดในแทบทุกด้าน  พูดง่าย ๆ  โครงสร้างของธุรกิจและการแข่งขันทางธุรกิจของหุ้นที่เข้าข่ายเป็นซุปเปอร์สต ็อกนั้น  จะได้เปรียบคู่แข่งและสามารถทำเงินหรือทำกำไรได้ดีต่อเนื่องยาวนานโดยที่คนอ ื่นไม่สามารถมาทำลายได้ง่าย  ดังนั้น  ถ้าเราเข้าใจ  เราก็สามารถนำหลักการนั้นมาใช้กับทุกบริษัทได้  บริษัทไหนที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับซุปเปอร์สต็อกก็จะเป็นบริษัทที่มีคุณภา พดี  บริษัทไหนที่มีคุณสมบัติห่างก็จะเป็นบริษัทที่มีคุณภาพแย่  ซึ่งก็จะช่วยให้เรารู้ว่าบริษัทควรมีมูลค่าแค่ไหน
 
ต่อไปนี้ก็คือ  Checklist หรือรายการตรวจสอบว่าหุ้นซุปเปอร์สต็อกนั้นมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง  ประการแรกก็คือ  มันมักเป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็น Megatrend หรือเป็นบริษัทที่ขายสินค้าที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  หรือเพิ่มขึ้นเร็วมากจนมีมูลค่าสูงขึ้นมากเทียบกับสถานะปัจจุบัน  ซึ่งนั่นก็มักจะเป็นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ “ใหม่”  ที่คนรุ่นใหม่นิยมใช้กันแต่ไม่ใช้สินค้าแฟชั่นที่จะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่นสินค้าเกี่ยวกับ IT และอินเตอร์เน็ต  บางทีก็เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของอายุประชากรของสังคมที่  “แก่ตัวลง” เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพ  หรือไม่ก็เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้นหรือราคาลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากปั จจัยด้านเทคโนโลยีที่ทำให้คนเข้ามาซื้อมากขึ้น  ตัวอย่างเช่น  การท่องเที่ยวเดินทางทางอากาศหรือการกินอาหารภัตตาคาร  เป็นต้น
 
หลังจากผ่านเกณฑ์ข้อแรก  เราก็ต้องมาดูว่าในอุตสาหกรรมดังกล่าวนั้น  มีหรือจะมี  “ผู้ชนะ”  หรือไม่  คำว่าผู้ชนะก็คือ  บริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงกว่าคู่แข่งระดับรองลงไปมาก  คร่าว ๆ  อาจจะมากกว่าเท่าตัว  เช่น  บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด 30%  คู่แข่งอันดับรองลงไปมีแค่ 15% หรือต่ำกว่านั้น  และโดยทั่วไปแล้วบริษัทก็จะมีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดในอุตสาหกรรม  แต่ในบางอุตสาหกรรมนั้น  ก็อาจจะมีผู้ชนะมากกว่าหนึ่งราย  เช่น มีสองรายที่มีส่วนแบ่งการตลาดพอ ๆ  กันและทิ้งห่างอันดับสาม  มีอุตสาหกรรมน้อยมากที่มีผู้ชนะเกินสองราย  ดังนั้น  ซุปเปอร์สต็อกโดยปกติแล้วก็จะต้องไม่เป็นบริษัทหมายเลข 3  ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหมายเลข 1  และแน่นอนว่าในหลาย ๆ  อุตสาหกรรมนั้น  เราหาผู้ชนะไม่ได้เนื่องจากไม่มีบริษัทไหนที่ใหญ่กว่าคู่แข่งอันดับรองลงไปม าก ๆ  ตัวอย่างก็คือ  สถาบันการเงินทั้งหลายและบริษัททำบ้านจัดสรรที่ “ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร”
 
หลังจากเจอผู้ชนะแล้ว  สิ่งที่ต้องดูต่อไปก็คือบริษัทจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้  ข้อแรกก็คือ  บริษัทจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Durable Competitive Advantage หรือการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน  นั่นก็คือ  บริษัทมีปัจจัยในการแข่งขันหรือการทำธุรกิจบางอย่างที่ทำให้ได้เปรียบคนอื่น   และปัจจัยนั้นคู่แข่งหรือคนอื่นไม่สามารถหามาได้หรือได้ก็ยากมาก  ปัจจัยที่ว่ามีหลายอย่างเช่น  หนึ่ง  บริษัทมียี่ห้อสินค้าที่โดดเด่นมากจนคนต้องการซื้อแม้ว่าจะมีราคาแพงมาก เป็น  “ซุปเปอร์แบรนด์” เช่น  ยี่ห้อแอร์เมส หลุยส์วิตตอง หรือ เฟอรารี่ เป็นต้น  หรือสอง บริษัทมีการผลิตที่สูงมากที่ทำให้ต้นทุนถูกกว่าคู่แข่งมากหรือเรียกว่ามี Economies of Scale สูงกว่าคู่แข่งมาก  หรือสาม  บริษัทมี “เครือข่าย”  ของผู้ใช้ที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมาก  นี่คือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ IT และอินเตอร์เน็ต ตัวอย่างเช่น ไมโครซอฟท์ กูเกิล อูเบอร์ อะเมซอน เป็นต้น  หรือสี่  บริษัทที่มี  “ต้นทุนของการเลิกใช้บริการสูง”  เช่น ธุรกิจโรงพยาบาลที่ลูกค้ามักไม่อยากเปลี่ยนโรงพยาบาลเนื่องจาก “ติดหมอ” ที่รักษากันมานาน  หรือห้า  บริษัทที่เป็น  ผู้  “ผูกขาดโดยธรรมชาติ”  เช่น  สนามบินที่มักจะมีผู้ให้บริการรายเดียวในท้องถิ่น  หรือหก  บริษัทที่ควบคุมวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำเช่นในธุรกิจปิโตรเคมีขั้นต้นและแร่ธ าตุหายากเช่น ยูเรเนียม  และสุดท้าย บริษัทจะต้องไม่ถูกทำลายโดยเทคโนโลยีและ IT ได้ง่ายเช่นพวกหนังสือหรือ CD  เป็นต้น
 
หุ้นที่เป็นซุปเปอร์สต็อกนั้น  จะต้องอยู่ในช่วงที่เรียกว่า “Virtuous Cycle” คือเป็นช่วงที่บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  เมื่อเวลาผ่านไป  อาจจะเนื่องจากบริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้บริษัทมีต้นทุนที่ถูกลงและม ีคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่ดีขึ้นซึ่งก็จะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอีก  เป็นวัฏจักรที่ดีขึ้นและดีขึ้นเรื่อย ๆ
 
ผู้ชนะนั้นจะต้องมีผลประกอบการและฐานะทางการเงินที่ดี  โดยข้อแรก  จะต้องมีกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่สูงเกิน 15% ต่อปีขึ้นไป สอง  มีกำไรต่อยอดขายหรือ Profit Margin สูงกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน  และสามที่น่าจะสำคัญอย่างยิ่งก็คือ  บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ทุกปีหรือเกือบทุกปีติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 6-7 ปีขึ้นไป ยิ่งยาวยิ่งดี ข้อสี่ บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ดี  อาจจะเนื่องจากเวลาขายสินค้ามักจะได้เงินสดแต่เวลาซื้อสินค้าจ่ายเป็นเงินเช ื่อ  ข้อห้า  บริษัทใช้เงินลงทุนต่ำในการขยายงานและบำรุงรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์ ซึ่งทั้งสองข้อหลังนี้ทำให้บริษัทมีเงินสดสูงซึ่งทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผ ลได้มาก
 
สุดท้ายก่อนที่จะเป็นซุปเปอร์สต็อกที่เราจะซื้อก็คือ  ราคาหุ้นจะต้องเหมาะสมหรือมีราคาถูก  ค่า PE จะต้องไม่เกิน 30 เท่าในกรณีที่เป็นหุ้นที่เป็นซุปเปอร์สต็อกโดยสมบูรณ์แล้ว  แต่ในกรณีของบริษัทที่กำลังจะเป็นซุปเปอร์สต็อกในด้านของการตลาดแต่ยังไม่มี กำไรเนื่องจากกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว  เราก็จะต้องดู Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นเทียบกับศักยภาพของตลาดในอนาคต  ดูว่ามูลค่าหุ้นนั้นไม่สูงเกินไปซึ่งกรณีนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่ายนัก  
 
หลังจากที่ซื้อหุ้นซุปเปอร์สต็อกแล้ว  โดยปกติเราก็จะไม่ขายหุ้นนั้นง่าย ๆ  ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง  เรามักจะไม่มีเป้าหมายราคาที่จะขายหรือเวลาที่จะถือหุ้น  ตราบใดที่มันยังเป็นซุปเปอร์สต็อกอยู่เราก็มักจะถือเอาไว้   อย่างไรก็ตาม  มีบางกรณีที่เราอาจจะขายหุ้นทิ้งเช่น  ข้อหนึ่ง หุ้นหมดสภาพความเป็นซุปเปอร์สต็อก  อาจจะเพราะมีคู่แข่งที่เหนือกว่าหรือใกล้เคียงที่เข้ามาในตลาดหรือบริษัททำผ ิดพลาดรุนแรงจนทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการย่ำแย่ลงมาก  สอง  ตลาดของสินค้าอาจจะเริ่มอิ่มตัว  การเติบโตในอนาคตจะช้ามากและอาจจะถดถอยซึ่งจะทำให้หุ้นกลายเป็นหุ้นแข็งแกร่ งจ่ายปันผลดีแต่ไม่โต  สาม เราอาจจะไปเจอหุ้นซุปเปอร์สต็อกตัวใหม่ที่ดูแล้วมีคุณค่าเหนือราคามากกว่าตั วเดิมที่เราถืออยู่มากแต่เราไม่มีเงินสดที่จะลงทุน  เราจึงตัดสินใจขายตัวเก่าเพื่อที่จะลงทุนในตัวใหม่  และสี่ก็คือ  ในบางครั้งซึ่งมักไม่เกิดขึ้นบ่อยก็คือ  ราคาหุ้นซุปเปอร์สต็อกนั้นขึ้นไปสูงมากเกินพื้นฐานไปมาก  เช่น  ค่า PE สูงถึง 40-50 เท่า  อาจจะเนื่องจากภาวะตลาดหุ้นที่เป็น “ฟองสบู่”  หรือมีการเก็งกำไรในตัวหุ้นรุนแรง  ในกรณีแบบนี้เราก็อาจจะพิจารณาขายไป
 
และทั้งหมดนั้นก็คือ  Checklist ที่จะบอกและเตือนเราเกี่ยวกับการมองหา  ลงทุน  และการขายซุปเปอร์สต็อก  อย่างไรก็ตาม  การลงทุนนั้น  “ไม่มีกฎตายตัว”  ในทุกขั้นตอนเราต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่ามีอะไรที่อาจจะทำให้เราควรละเว้นก ฎเกณฑ์เหล่านั้นหรือไม่ด้วย

"Whether you think you can,
or you think you can't--you're right."

-- Henry Ford--
ส่งโดย: <<GOOD LIFE>>
สถานะ: Executive Member *****
จำนวนความเห็น: 953  
   
182.53.160.*


Page(s) : 1 




Reply this Topic reserved for registed member only. Register



  • ข้อความและรูปภาพที่ท่านเห็นส่วนใหญ่ ได้ถูกส่งมาจาก ทางบ้าน
    ทางเว็บไซต์ Thaiclinic.com ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของข้อความและรูปภาพที่ถูกส่งมา

  • ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชนและส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
    เจ้าของเว็บไซต์ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ทั้งสิ้นเพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง
    ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง

  • ถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมหรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล
    หรือหน่วยงานใด กรุณาส่ง email มาที่ webmaster@thaiclinic.com หรือ กดแจ้งที่ปุ่ม
    "แจ้งลบกระทู้"
    เพื่อให้ทีมงานทราบและทำการลบข้อความนั้นออกจากระบบต่อไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ThaiClinic.Com . All Rights Reserved. !--BEGIN WEB STAT CODE-->

Powered by